โรคภูมิแพ้

คุณเป็นโรคจมูกอัพเสบจากภูมิแพ้ บางครั้งเรียกโรคแพ้อากาศโดยจะมีอาการสำคัญดังนี้ คันจมูก จาม น้ำมูกใสไหล คัดแน่นจมูก บางครั้งจะคันหัวตา คันเพดานปากหรือคันหูด้วย อาจพบอาการหอบหืดหรือผื่นคันตามผิวหนังร่วมได้โรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม ไม่หายขาดแต่ถ้าไม่สัมผัสสารที่แพ้จะไม่มีอาการ

เราจะรักษาภูมิแพ้อย่างไร...?

1. หลีเลี่ยงสิ่งที่แพ้ สำคัญมากๆ

ส่วนใหญ่ของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จะแพ้ต่อตัวไรฝุ่น หรือสิ่งขับถ่ายของมันซึ่งเล็กมาก จนมองด้วยตาปล่าวไม่เห็น เราจะพบตัวไรฝุ่นอยู่ทั่วไปภายในบ้านในห้องนอนที่ทำงาน ตัวไรฝุ่นจะออกลูกออกหลานทุกเดือน ตัวไรฝุ่นโดนแดดจะตาย ดังนั้น การกำจัดตัวไรฝุ่นเราจะต้องเอาของบนที่นอน เช่น หมอนข้าง ผ้าห่ม ผ้าคุมเตียงตากแดดทุก 15 วัน ส่วนฟูกที่นอนถ้าพอขนไปตากแดดได้ให้นำไปตากแดดสักครั้ง แล้วใช้ผ้ากันไรฝุ่นหุ้มและคลุมด้วยผ้าปูเตียงอีกชั้น และส่วนใหญ่ให้เปลี่ยนเฉพาะผ้าปูเตียงไปซักถ้าฟูกหนักมาก ยกมาตากแดดไม่ได้ให้เปิดหน้าต่างห้องให้แดดส่องถึงฟูกที่นอนบ่อยๆ บริเวณพื้นห้องนอนห้ามปูพรมเพราะจะเก็บฝุ่นและไม่ควรปัดกวาดพื้นเพราะจะปัดให้ไรฝุ่นตัวเล็กๆ ปลิวกระจายในห้องนอนสั่งเกตได้ถ้าคุณเป็นภูมิแพ้ต่อตัวไรฝุ่น เมื่อทำการกวาดบ้านก็มักจะมีอาการคันจมูกจามขึ้นมา หรือในรายที่เป็นมากอาจจะมีอาการหอบหืดได้ ดังนั้นไม่ควรใช้ไม้กวาดบ้านเป็นการกำจัดไรฝุ่นในห้องนอนส่วนการใช้เครื่องดูดฝุ่น เครื่องดูดฝุ่นจะดูดฝุ่นเข้าทางด้านหน้าและพ่นฝุ่นละอองเล็กๆรวมทั้งตัวไรฝุ่นลอยออกมาด้านหลังและฟุ้งกระจายออกไปยกเว้นเครื่องดูดฝุ่นที่ดูดแล้วผ่านลงไปในน้ำในตัวเครื่องอาจช่วยได้บ้าง

   วิธีที่ดีที่สุดของการทำความสะอาดห้องนอน คือควรเช็ดถูพื้นด้วยผ้าเปียกน้ำ เช็ดไปทางเดียวกันสักประมาณ 4-5 ครั้ง แล้วจุ่มน้ำซักและทำใหม่เปลี่ยนน้ำในถังและผ้าเช็ดพื้นบ่อยๆ ทำให้ทั่วทั้งห้องนอน ตัวไรฝุ่นจะติดผ้าถูพื้นแล้วลงไปในถังน้ำ นำน้ำไปเททิ้งผ้าเช็ดพื้นต้องนำไปตากแดดจะทำให้พ่อแม่พันธุ์ในห้องนอนลดลง ซึ่งจะขจัดตัวไรฝุ่นได้ดีและมากที่สุด การถูกพื้นซ้ำทุกวันตัวไรฝุ่นจะค่อยๆลดลง สังเกตได้ว่าคุณและคนในครอบครัวคุณจะค่อยค่อยๆอาการดีขึ้น จนไม่มีอาการ

   การใช้ผ้าคุมเตียงแบบพื้นผิวแน่นพิเศษ ป้องกันไม่ให้ตัวไรฝุ่นออกจากฟูกและหมอน ถ้าให้ได้ผลดีให้นำผูกไปตากแดดสักครั้งเพื่อกำจัดไรฝุ่นในฟูกแล้วใช้ผ้าปูที่นอนแบบกันไรฝุ่นหุ้มไว้แล้วหุ้มด้วยผ้าปูที่นอนธรรมดาอีกชั้นหนึ่งและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนไปซักบ่อยๆ แต่ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่นซักไม่ต้องบ่อยเพราะเมื่อซักบ่อยๆ เส้นใยมักจะเสื่อมสภาพทำให้ไรฝุ่นเข้าไปหรือออกมาได้อีก

   ถ้าคุณแพ้ขนสุนัขหรือขนแมว ซึ่งจะรู้ได้โดยการทดสอบภูมิแพ้หรือจากประสบการณ์ของคุณเองเมื่อสัมผัสกับขนหมาหรือแมวแล้วเกิดอาการ เมื่อพบว่าคุณแพ้คุณจะต้องหลีกเลี่ยงสัตว์พวกนี้ หรือไม่เลี้ยงสัตว์พวกนี้ไว้ในบ้าน

   ถ้าคุณแพ้แมลงสาบ ซึ่งยากที่จะหลีกเลี่ยงแต่การทำบ้านให้สะอาดปราศจากเศษอาหารทิ้งค้างไว้ และใช้ยากำจัดแมลงสาบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยได้เป็นอย่างมาก

   ถ้าแพ้ละอองเกสรพืช ดอกไม้บางชนิด เช่น ต้นกก ผักโขม หญ้าแพรก มักจะมีอาการในช่วงเปลี่ยนฤดูใหม่ๆหรือช่วงฤดูหนาวถ้าพบว่าการแพ้จากการทดสอบทางผิวหนัง หรือมีอาการเมื่ออยู่ในสนามหรือเมื่อมีลมพัดมา มักหลีกเลี่ยงได้ยากในรายที่มีอาการแพ้มากหรือหอบหืดจะต้องย้ายที่อยู่หรือที่ทำงาน

   เชื้อราพบแพ้ได้ไม่บ่อย มักพบในบริเวณที่อัพชื้น ในห้องนอนจึงไม่ควรมีต้นไม้ที่ต้องรถน้ำ แอร์ที่ท่อน้ำทิ้งอุดตันสามารถพบเชื้อราและเชื้อโรคได้มาก จึงจำเป็นต้องแก้ไขเมื่อพบว่ามีน้ำหยดจากแอร์

2. การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ภูมิต้านทานดีขึ้นอาการภูมิแพ้จะลดลงไปด้วยรวมทั้งสุขภาพทั่วไปจะดีขึ้นจนโอกาสเกิดโรคหัวใจ เหนื่อยง่าย หรือโรคกระดูกเสื่อมหายไปหรือลดลง ดังคำที่ว่า “ออกกำลังกายคือยาวิเศษ” ควรออกกำลังกายติดต่อกัน 20 นาทีต่อวันและออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งอาจใช้วิธีเดินเร็วก็ได้

3. ยากิน มักเป็นยาที่รักษาอาการส่วนใหญ่ เช่น
  •   ยาแอนตี้ฮีสตามีน (ยาแก้แพ้)
  • ซึ่งมีหลายชนิดที่คนทั่วไปรู้จักกันดีคือ ยาเม็ดสีเหลืองคลอร์เฟนิรามีนขององค์กรเภสัชกรรม หรือแอคติเฟด ซึ่งมียาแก้แน่นจมูกร่วมอยู่ด้วย ยาพวกนี้มักจะทำให้เกิดอาการง่วงนอนเป็นอาการข้างเคียง ปัจจุบันมียาแอนตี้ฮิตตามีนรุ่นไหม่ๆที่ออกฤทธิ์ยาว 12 - 24 ชั่วโมงและไม่ค่อยง่วง ในรายที่เป็นหอบหืดร่วมด้วยควรเลือกอย่ารุ่นใหม่ๆเพราะไม่ทำให้เสมหะข้นเหนียวเพิ่มขึ้น บางครั้งเราจะใช้ยาแอนตี้ฮิสตามีนรุ่นใหม่ผสมกับยาแก้แน่นจมูกที่ค่อยๆออกฤทธิ์ตลอด 12 ชั่วโมง เพื่อลดอาการแพ้และแน่นจมูกซึ่งพบร่วมกันได้
  •   ยาสเตียรอยด์
  • เป็นยาลดอาการภูมิแพ้ที่ได้ผลดีแต่ต้องกินยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หรือเภสัชเท่านั้นเพราะการกินยาตัวนี้นานๆ (เกิน 1 สัปดาห์ขึ้นไป) อาจมีผลทำให้หน้าบวม ตัวบวม กระดูกพรุนกดภูมิต้านทานของร่างกายและกดต่อมหมวกไต ทำให้การสร้างฮอร์โมนที่สำคัญลดลงมีโอกาสช็อคตายได้ จึงต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์โดยใกล้ชิด คนไข้ที่ได้ยานี้จากยาสมุนไพร ยาไทย ยาลูกกลอน ยาชุดประจำร้านขายยาหรือคลีนิคแพทย์บางแห่ง จะรู้สึกว่าอาการภูมิแพ้หอบหืดดีขึ้นอย่างมาก ทำให้อยากกินยานี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่ข้อเสียรุนแรงจะพบระยะหลังๆ
  •   ยาคีโตติเฟน
  • เป็นยาลดการหลั่งสารเคมีต่ออาการแพ้ทำให้การตอบสนองต่อการแพ้ลดลงมีอาการน้อยลง มักใช้ร่วมกับยาแอนตี้ฮิตตามีนมักใช้ในเด็กเป็นส่วนใหญ่
  •   ยาใหม่ๆ
  • ที่ต้านต่อฤทธิ์สารเคมีจากภูมิแพ้เช่น ซิงกูแลร์แต่ราคาแพง มักใช้ในรายที่เป็นมาก เช่น หืดหอบรุนแรงร่วมด้วย
  •   ยาพ่นจมูก
  • ยาพ่นจมูกมีสี่ชนิดได้แก่
    • ยาพ่นจมูกสเตียรอยด์ ใช้พ่นรักษาอาการภูมิแพ้ได้ดีเหมาะสำหรับคนที่มีอาการคัดแน่นจมูก หรือโรคริดสีดวงจมูก ยารุ่นใหม่ๆจะพ่นจมูกข้างละ 2 ที วันละครั้งเดียว
    • ยาพ่นแอนตี้ฮิสตามีน ได้ผลดีพอสมควรสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ (ในประเทศไทยขณะนี้ไม่มีจำหน่ายแล้ว)
    • ยาพ่นลดการบวมของเยี่อบุจมูก ใช้ลดอาการแน่นจมูกได้เร็ว แต่ห้ามใช้ติดต่อกันนานเกิน 5 วัน เพราะจะทำให้เยี่อบุจมูกหนาขึ้นเกิดอาการแน่นจมูกมากขึ้นเรื่อยๆ หรือตลอดเวลา ยาจะให้ผลลดการแน่นจมูกช่วงระยะสั้นลงเรื่อยๆ จึงห้ามใช้ติดต่อกันนานๆ
    • น้ำเกลือเข้มข้น ใช้พ่นจมูก ลดบวมของเยี่อบุจมูกได้
      • วิธีพ่นยาเข้าจมูก
        •  ถ้ามีน้ำมูกให้สั่งน้ำมูกออกก่อน ทีละข้าง
        •  เขย่าขวดก่อนใช้ เปิดฝาครอบยา
        •  ปิดรูจมูกอีกข้าง ก้มศรีษะไปข้างหน้าเล็กน้อย
        •  จับขวดตั้งขึ้น สอดปลายที่พ้นเข้าไปในรูจมูก
        •  ให้ปลายหลอดยาพ่นห่างจากเยื่อบุจมูกพอควรและชี้ไปยังหัวตาหรือด้านข้างของจมูกที่มีเนื้อจมูกที่บวม ห้ามพ่นไปตรงผนังกั้นกลางจมูก เพราะจะโดนกระดูกอ่อนกั้นกลางจมูก ทำให้กระดูกอ่อนกั้นกลางจมูกอักเสบและทะลุได้
        •  กดแป้นด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลางให้สุด
        •  ให้นำขวดยาออกมาก่อนแล้วค่อยปล่อยคลายการกดแป้น
        •  ทำซ้ำอีกครั้งกลับรูจมูกอีกข้าง
        •  ​ปิดฝาครอบยา
    •   วัคซีนภูมิแพ้
    • จะใช้ในรายที่ผู้ป่วยเป็นมาก เช่น เป็นหอบหืด น้ำมูกไหล จามมากทั้งวัน โดยต้องมีการทดสอบทางผิวหนังว่าแพ้สารใดก่อนจึงนำสารนั้นเริ่มต้นในปริมาณน้อยฉีดเข้าร่างกาย เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อสารแพ้นั้น และจะค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นโดยจะต้องนัดฉีดทุก1-2 สัปดาห์ติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน การรักษาวิธีนี้ได้ผลดีพอสมควร แต่ผลที่ได้มักไม่ถาวรหยุดฉีดวัคซีนสักพักอาจจะกลับมาเป็นใหม่ได้จึงไม่แนะนำให้ใช้ในรายที่เป็นไม่มากและควรหลีกเลี่ยงสารที่ระคายเคืองต่อเยี่ยบุในจมูก เช่น ควันบุหรี่ ควันท่อไอเสียรถ ควันไฟ ฝุ่นละอองต่างๆ เพราะทำให้ภูมิแพ้มีอาการมากขึ้น
    •   ให้สั่งน้ำมูกออกมาทางด้านหน้าของจมูกเท่านั้น
    • ห้ามสูดหรือซื้ดน้ำมูก เข้าไปหลังจมูกหรือลงคอห้ามครึ่งครึ่งดูดเสมหะหรือเสลดลงคอเพราะจะเกิดโรคแทรกซ้อนได้
โรคแทรกซ้อนจากภูมิแพ้
  • 1. โรคริดสีดวงจมูก เพราะโรคภูมิแพ้ที่มีอาการมากจะทำให้เยี่อบุจมูกบวม เยื่อบุไซนัส (โพรงอากาศในกระดูก ข้างจมูก) จะบวมด้วยเมื่อผู้ป่วยสูดน้ำมูก หรือจะดูดเสมหะลงคอ แรงดูดจะดูดเอาเหยื่อบุไซนัสที่บวม ห้อยย้อยออกจากรูไซนัสและกลายเป็นก้อนในจมูก เรียกริดสีดวงจมูกได้
  • 2. โรคไซนัสอักเสบ จากการดูดหรือซื้ดน้ำมูกหรือดูดครืดๆเอาเสมหะลงคอ จะดูดอากาศจากโพรงไซนัสออกมาและถ้าแรงดูดนานพอจะทำให้รูเปิดของโพรงไซนัสบวมตันและเกิดการติดเชื้อในโพรงไซนัสทำให้อักเสบได้ง่ายและเป็นเรื้อรังได้ 
  • 3. โรคหูชั้นกลางอักเสบ หรือหูน้ำหนวกระยะแรกเกิดจากการสูดหรือซี้ดน้ำมูกหรือดูดครืดๆเอาเสมหะลงคอ ในขณะที่เยื่อบุจมูกบวม จะเกิดแรงดูดเอาอากาศจะหูชั้นกลางออกมาตามท่อยูสเตรเชี่ยน มายังด้านหลังจมูกแก้วหูจะบุ๋ม ผู้ป่วยรู้สึกหูอื้อเวลาพูดได้ยินเสียงตัวเองก้องในหู และถ้าแรงดูดนานและบ่อยทำให้เยื่อบุยูสเตรเชี่ยนบวมตัน เกิดน้ำในช่องหูชั้นกลาง และติดเชื้อในหูชั้นกลางเกิดการอักเสบหนองทะลุแก้วหูออกมาเป็นหูน้ำหนวกได้