โรคงูสวัด อันตราย! แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โรคงูสวัด อันตราย! แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

   โรคงูสวัด โรคสุกใส และโรคเริม เป็นโรคผิวหนังที่คนส่วนใหญ่มักนึกถึงเมื่อเกิดผื่นแดง ตุ่มใส ปวดร้อน แสบ คัน ซึ่งโรคงูสวัดและโรคสุกใสหรือที่มักเรียกกันว่าโรคอีสุกอีใส เกิดจากเชื้อไวรัส Varicella Zoster Virus (VZV) ส่วนโรคเริม เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex ซึ่งเป็นคนละชนิดกับโรคงูสวัดหรือโรคสุกใส
  • รู้จักโรคงูสวัด

 โรคงูสวัด (Herpes Zoster หรือ Shingles) เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อไวรัส VZV โดยเริ่มจากการป่วยหรือติดเชื้อสุกใสมาก่อน ซึ่งเชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกายทำให้เส้นประสาทอักเสบ เมื่อร่างกายอ่อนแอภูมิคุ้มกันลดลง หรือเครียดมากๆ จะเริ่มแสดงอาการของโรคงูสวัดออกมา

อาการและความรุนแรงของโรคงูสวัด

   โรคงูสวัดเป็นโรคทางผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสสุกใส ดังนั้นผู้ที่เคยเป็นสุกใสมาก่อน มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคงูสวัดได้ โดยจะมีอาการปวดแสบบริเวณผิวหนัง จากนั้น 2 – 3 วันจะมีผื่นแดงหรือตุ่มใสเรียงเป็นแนวยาวตามเส้นประสาท เช่น ตามใบหน้า หนังตา คอ แขน ลำตัว ตลอดจนรอบๆ เอว แต่มักเกิดเพียงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย พบบ่อยสุดบริเวณลำตัว ระยะนี้ผู้ป่วยมักทรมานจากอาการปวดของโรคงูสวัด และยังคงมีอาการปวดต่อเนื่องนานอีกเป็นเดือนถึงแม้ว่าอาการที่ผิวหนังจะหายไปแล้วก็ตาม โดยเฉพาะผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากการฟื้นตัวของเส้นประสาทมักใช้เวลานานและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก

การรักษาโรคงูสวัด

   ปัจจุบันมียาต้านเชื้อไวรัสชื่อ Acyclovir (อะไซโคลเวียร์) Valaciclovir (วาลาซิโคลเวียร์) และแฟมซิโคลเวียร์ (Famciclovir) ที่ได้รับการรับรองจากแพทย์แผนปัจจุบันให้เป็นการรักษาตามมาตรฐานสากล เพื่อช่วยระงับอาการปวดและลดความรุนแรงของโรค รวมถึงลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ

ผู้ป่วยจะต้องได้รับยาภายใน 48 – 72 ชั่วโมงหลังจากมีอาการ โดยเฉพาะกรณีเป็นบริเวณใบหน้าหรือบริเวณตา ควรได้รับยาต้านไวรัสอย่างเร็วที่สุดเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด

การป้องกันโรคงูสวัด

   การฉีดวัคซีน เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคงูสวัดอย่างได้ผลสำหรับคนที่เคยเป็นโรคสุกใสและโรคงูสวัดมาก่อน รวมทั้งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งและได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับหรือโรคไตเรื้อรัง โดยการฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 2 – 6 เดือน นอกจากวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดได้แล้วยังสามารถป้องกันโรคสุกใสได้อีกด้วย

ใครควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด

   ในปัจจุบันประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดเทียบเท่ากับในสหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไปทุกคนควรได้รับวัคซีน เพราะเมื่ออายุมากขึ้นระดับความรุนแรงของโรคจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคงูสวัด และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ รวมทั้งผู้ที่เคยเป็นโรคงูสวัดมาก่อนก็ควรได้รับวัคซีน เพราะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคซ้ำและลดอาการปวดตามแนวประสาทที่ยังหลังเหลืออยู่

แนะนำผู้ที่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดรุ่นแรกแล้ว ยังจำเป็นต้องได้รับวัคซีนรุ่นใหม่เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน
 โรงพยาบาลนนทเวช พร้อมให้คำปรึกษาและให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดสำหรับบุคคลทั่วไป

 

ขอบคุณข้อมูล
 นพ.วีระกิจ หิรัญวิวัฒน์กุล
กุมารแพทย์เวชศาสตร์ทั่วไป

ศูนย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลนนทเวช