ไฮฟู่ ยกกระชับหน้า

ความแก่ชราของผิว ดูได้จาก 2 ส่วนใหญ่ๆ คือริ้วรอย และความหย่อนคล้อย ปัจจุบันไม่ใช่แค่ปัญหาริ้วรอยแล้ว แต่ปัญหาผิวหย่อนคล้อยก็เป็นปัญหาที่หลายคนให้ความสำคัญ เมื่ออายุมากขึ้นคอลลาเจนจะมีการเสื่อมสลายไปและโครงสร้างผิวหนังที่เคยมีหน้าที่ตรึงผิวให้กระชับ เกิดการหย่อนยานลง ทำให้เกิดการหย่อนคล้อย เปรียบเทียบเหมือนหนังสติ๊กหรือสปริงที่ถูกใช้งานนานๆ หรือถูกดึงยืดนานๆ แล้วความยืดหยุ่นเสียไป จนไม่สามารถหดกลับได้ดีเท่าเดิม

โดยความแก่ชราของผิว เกิดจาก 2 ปัจจัยใหญ่ คือ

  1. ปัจจัยที่เปลี่ยนไม่ได้ คือ อายุ กรรมพันธุ์
  2. ส่วนปัจจัยที่เปลี่ยนได้ คือการถนอมผิว การดูแลผิวของแต่ละคน

เรามาทำความรู้จัก HIFU

HIFU (High Intensity Focused Ultasound) คือ การใช้เทคโนโลยี โฟกัสอัลตร้าซาวด์ หรือ พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูง ซึ่งจะส่งพลังงานไปที่ระดับความลึกที่เฉพาะเจาะจง แม่นยำ และตรงต่อระดับที่ต้องการรักษา โดยลงลึกถึงชั้น SMAS (SUPERFICAL MUSCULAR APONEUROTIC SYSTEM) ซึ่งชั้นนี้ถือเป็นชั้นผิวที่มีเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อพังผืดบางๆ รองรับผิวเราทั้งหมดไว้ มีผลอย่างมากต่อความกระชับหรือหย่อนคล้อยของผิว

เมื่อพลังงานส่งถึงชั้นนี้ จะทำให้กล้ามเนื้อและพังผืดชั้นนี้มีการหดตัว ซึ่งชั้นผิวชั้นนี้คือชั้นเดียวกับชั้นที่ผ่าตัดดึงหน้าในทางศัลยกรรม ให้นึกภาพตามว่าเปรียบเหมือนหนังสติ๊กที่หย่อนยานถูกตัดออกให้สั้นลง จนเหลือวงเล็กลง และส่วน HIFU พลังงานจะลงถึงชั้น SMAS เป็นจุดๆ  ทำให้เกิดรอยหดตัวขนาด 1 มิล ที่ชั้น SMAS แต่ละจุดห่างเท่าๆ กัน ประมาณ  1.5 mm จึงเหมือนใช้เข็มเล็กๆ เย็บตรึงใบหน้าให้ค่อยๆ กระชับขึ้นทีละจุด หนังสติ๊กที่หย่อนยานก็จะค่อยๆ กระชับเล็กลง

ผ่าตัดยกหน้าหรือ FACELIFT เป็นวิธีดั้งเดิม ที่มีความเจ็บ และต้องพักรักษาตัวที่บ้านระยะนึง จะนานเท่าไหร่ แล้วแต่ความรุนแรงของการผ่าตัด แต่ HIFU เป็นการยกกระชับผิวแบบไร้แผล หรือที่เรียกว่า MINIMALLY INVASIVE ซึ่งปัจจุบันนิยมกว่ามาก ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวจะค่อยๆ ถูกดึงรั้งขึ้นระหว่างการทำ โดยหลังทำจะสามารถเห็นว่าผิวที่หย่อนคล้อยมีความยกกระชับในระดับนึง

HIFU เหมาะสมกับใครบ้าง

โดยส่วนมาก HIFU จะเหมาะกับคนที่อายุ 40 ขึ้นไป เพราะจะเริ่มเห็นความหย่อนคล้อยค่อนข้างชัดเจนแล้ว แต่อย่างที่กล่าวไป บางคนความหย่อนคล้อยก็เกิดเร็วกว่านั้น เนื่องจากไม่ดูแลสภาพผิวอย่างถูกวิธี หรือในบางคนที่อายุน้อย บางทีไม่ได้มีปัญหาความหย่อนคล้อย แต่ด้วยความนิยมในปัจจุบัน ที่ชอบความเป็น V-Shaped ของใบหน้า จึงอยากจะเปลี่ยนรูปหน้าจาก O- Shaped เป็น V- Shaped

 

ดังนั้น HIFU ไม่ใช่จะเหมาะแค่สำหรับคนอายุ 40 ขึ้นไป หรือคนที่มีความหย่อนคล้อยเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับคนทุกวัยที่ต้องการจะปรับรูปหน้า

 

ลักษณะเด่นของการทำ HIFU คือการทำให้ผิวหน้ายกกระชับ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยบนใบหน้า นอกจากนี้ยังมีผลลัพธ์อื่นๆ อีกด้วย เช่น การทำ HIFU ยังสามารถลดเลือนริ้วรอยได้ด้วย เนื่องจากเมื่อเปลี่ยนหัวที่ใช้ส่งพลังงานให้ตื้นขึ้น  HIFU จะส่งพลังงานไปที่ระดับชั้นหนังแท้ ซึ่งจะไปกระตุ้นการทำงานของ Cell Fibroblast ซึ่งเป็น Cell หลักในกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ ดังนั้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ ก็จะทำให้ผิวค่อยๆ มีความตึงกระชับมากขึ้น รูขุมขนเล็กลง เรียบเนียนมากขึ้น ริ้วรอยบางๆ อาจดีขึ้นได้ด้วย จะเห็นได้ว่า HIFU สามารถส่งพลังงานได้ทั้งผิวหนังชั้นลึกและชั้นตื้น จึงทำให้สามารถยกกระชับปรับรูปหน้าได้ และยังกระตุ้นผิวด้านบนให้ดีขึ้นได้ด้วย และนี่อาจจะเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าการผ่าตัดยกหน้า เพราะ HIFU นอกจากจะยกกระชับรูปหน้าแล้ว ยังทำให้คุณภาพผิว หรือสภาพผิวหน้าดีขึ้นด้วย

 

นอกจากนี้ HIFU ยังมีหัวพิเศษเพื่อการกระชับผิวบริเวณรอบดวงตา และสามารถยกคิ้วในคนที่คิ้วตกน้อยๆ ได้ รวมถึงทำที่บริเวณลำตัวได้อีกด้วย เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นแขน ต้นขา ซึ่งขั้นตอนการทำเหมือนกัน แต่จะใช้หัวสำหรับลำตัวโดยเฉพาะ ซึ่งจะส่งพลังงานไปที่ระดับลึกกว่า (หัว13 mm) และใช้พลังงานที่สูงกว่า  จะช่วยยกกระชับความหย่อนคล้อย ซึ่งเห็นผลเหมือนที่ทำที่ใบหน้า และความลึกของหัวที่ใช้บริเวณลำตัวนี้   จะส่งถึงระดับชั้นไขมันด้วย จึงสามารถที่จะสลายไขมันบริเวณลำตัวได้ด้วย เช่น บริเวณหน้าท้อง สะโพก ต้นแขนต้นขา เซลล์ไขมันจะถูกทำลาย และขับออกผ่านระบบการไหลเวียนของร่างกายตามธรรมชาติ  พร้อมๆ  กับกระชับผิวด้วย หลังการทำจะค่อยๆ เห็นผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ใน 2-3 เดือน

 

หลังการทำ HIFU ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะเห็นผลลัพท์ที่ได้ที่ชัดเจน?

หลังทำจะสามารถเห็นว่า ผิวที่หย่อนคล้อยมีความยกกระชับทันทีส่วนนึงเลย คือประมาณ30%     และจะยังมีความยกกระชับต่อเนื่องช้าๆ เต็มที่ ที่ประมาณ 3 เดือน คงอยู่ประมาณ 6 เดือน

คนไข้บางคนบอกว่าความยกกระชับอาจเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่เวลาจับหน้าแล้วรู้สึกว่ามัน Firm ขึ้น แน่นเด้งมากขึ้นชัดเจน ส่วนเรื่องริ้วรอย ความเรียบเนียน ต้องอาศัยเวลา กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว คอลลาเจนก็เช่นกัน การที่ให้ความร้อนไปกระตุ้นกระบวนการสร้าง Collagen ในชั้นหนังแท้ ต้องใช้เวลา ดังนั้น ริ้วรอยบางๆ ที่จะเริ่มเนียนขึ้น จะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ 2-3 เดือนขึ้นไป แล้วจะคงสภาพได้ประมาณ 6 เดือน ดังนั้น ถ้าอยากคงความสาวต่อไปเรื่อยๆ อาจต้องทำ HIFU เป็นระยะ

ผลการรักษาขึ้นกับอะไรบ้าง

ผลการรักษาขึ้นกับอายุของคนไข้ สภาพผิว และความหย่อนคล้อยเดิมว่ามีมากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่าถ้าเราเริ่มมารักษาตั้งแต่คอลลาเจนเพิ่งเริ่มเสื่อมสภาพหรือเริ่มมีความหย่อนคล้อยในระยะเริ่มแรก ย่อมดีกว่าปล่อยให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพไปเยอะแล้ว หรือความหย่อนคล้อยเกิดขึ้นเยอะแล้ว   ถึงตอนนั้นคอลลาเจนก็จะฟื้นฟูยากกว่า คนไข้ที่จะทำ HIFU แล้วได้ผลลัพธ์ดี ถ้าประมาณคร่าวๆ ก็คือ  ช่วงอายุ 30-60 ปี ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าคนอายุเกิน 60 ปี ซึ่งความหย่อนคล้อยเกิดขึ้นเยอะแล้ว อาจต้องอาศัยการผ่าตัดจึงจะได้ผลดี ดังนั้นถ้าเราเริ่มดูแลผิวตั้งแต่ยังอายุน้อย จะทำให้หน้าเราคงความอ่อนเยาว์ได้ดีกว่าคนที่เริ่มดูแลผิวช้า อย่างไรก็ตาม บางคนที่อายุเกิน 60 ปี อาจยังได้ผลลัพธ์ที่ดีจาก HIFU นั่นคือ คนสูงอายุที่ถนอมผิวดีมาตลอด ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ไม่ออกแดดโดยไม่จำเป็น มีริ้วรอยน้อย จุดด่างดำน้อย ความหย่อนคล้อยไม่มาก  ซึ่งบ่งบอกว่าคอลลาเจนใต้ผิวที่ดียังมีอยู่ค่อนข้างเยอะ ซึ่งถ้าคนเหล่านี้ไม่อยากผ่าตัดยกหน้า ถ้ามาทำ HIFU   ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ถ้าเทียบกับคนอายุเกิน 60 ปี คนอื่นๆ

HIFU จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกับผู้ที่ยังมีคุณภาพผิวที่ดีประมาณนึง และต้องการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องการพึ่งการผ่าตัด แต่ถ้าผิวหย่อนคล้อยเยอะ แต่ก็ไม่ต้องการพึ่งการผ่าตัด อาจต้องทำ HIFU ติดต่อกันในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ทุก 2/4 สัปดาห์ ติดต่อกันประมาณ 3-4 ครั้ง ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพการยกกระชับขึ้น

 

การทำ HIFU เจ็บมั้ย แล้วมีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่

ความเจ็บก็จะเจ็บน้อย  ไม่ใช่ไม่เจ็บเลย แต่ถ้าเทียบกับเครื่องมือที่ใช้ยกกระชับผิวอื่นๆ แล้ว หมอคิดว่าHIFU เจ็บน้อยที่สุด ถ้าเคยมีการอุดฟันหรือรักษารากฟันมา ตอนทำอาจจะเจ็บเสียวบริเวณแถวกรามเล็กน้อย มีวิจัยว่าอาจกินยาแก้ปวดก่อนทำ HIFU ประมาณ 1 ชม. ก็จะช่วยลดอาการปวดได้ ขณะทำจะรู้สึกอุ่นๆ ร้อนๆ ที่ผิว เกิดรอยแดงเล็กน้อย ประมาณ 2-3 ชั่วโมง อาจมีอาการบวมเล็กน้อยหลังทำ และอาจรู้สึกตึงๆ เจ็บๆ เล็กน้อยได้บริเวณกระดูกกราม เวลาที่ไปสัมผัส ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่โดยปกติแล้วอาการเหล่านี้จะเพียงเล็กน้อยและชั่วคราว

ก่อนและหลังการทำ HIFU เราต้องเตรียมตัวและดูแลอย่างไรบ้าง?

ก่อนทำ พักผ่อนให้เพียงพอ งดสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ควรถูกแสงแดดจัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เนื่องจากจะช่วยเอื้อให้การสร้างคอลลาเจนใหม่เป็นไปได้ด้วยดี

ก่อนการรักษาจะมีการทำความสะอาดเครื่องสำอางบริเวณที่จะทำการรักษาให้ เพื่อความสะอาด แต่จะไม่มีการทาหรือฉีดยาชา สามารถทำ HIFU ได้ทันที  ใช้เวลาการทำประมาณ 30 – 60 นาที

 

และหลังทำเนื่องจากไม่มีบาดแผล หลังทําสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ แต่เพื่อการบำรุงผิวที่เราเพิ่งกระตุ้นการสร้าง Collagen ไป ให้คงอยู่ได้นานก็อย่าทำอะไรที่ไปทำลายผิว ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ หลีกเลี่ยงแสงแดด รวมทั้งไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นการทำลายการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิวหนัง หากมีอาการตึงผิวก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ มาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ที่เราจะเลือกทำอะไรซักอย่างให้กับใบหน้าของเรา

ขอยกตัวอย่าง เรื่อง HIFU ให้ฟัง จริงๆ แล้ว การทำ HIFU เป็นวิธีที่ได้การยอมรับว่ามีความปลอดภัยสูง อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เพื่อให้ประเมินสภาพผิวหน้าและรูปหน้า เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

HIFU มีหลายยี่ห้อมาก มาตรฐานแต่ละยี่ห้อก็อาจแตกต่างกัน ทีโรงพยาบาลนนทเวช เราเลือกยี่ห้อ (Contlex) ที่มีมาตรฐานสูง ผลิตที่เกาหลี ยี่ห้อที่ทางโรงพยาบาลนนทเวชเลือกนี้ เป็นยี่ห้อที่มีการทำวิจัย โดยการลองยิงบนเนื้อ แล้วตัดชิ้นเนื้อเยื่อมาตรวจวิจัยแล้ว ว่า Dot หรือตำแหน่งเนื้อที่ได้รับพลังงานที่มีการเปลี่ยนสีไป พบว่า

- แต่ละ Dot ขนาดเท่ากัน

- พลังงานลงถึงระดับที่ต้องการทั้งหมดอย่างแม่นยำ

- ระยะห่างระหว่าง Dot แม่นยำ

แต่ถ้าเราไปใช้เครื่องที่มาตรฐานต่างออกไป เช่น Focus ไม่ชัดเจน ระยะห่างระหว่าง Dot ไม่ชัดเจน อาจจะทำให้ไม่ได้ผล หรือโอกาสที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์ก็จะสูงตามไปด้วย เช่น Burn ผิว หรือเกิดแผลเป็น เกิดรอยบุ๋มของผิวหนัง ซึ่งรักษายาก แต่ละเครื่องการออกของพลังงานก็จะแตกต่างกันพอสมควร บางเครื่อง พลังงานก็ออกเป็นทรงกระบอก แทนที่จะออกเป็นลักษณะเหมือนกรวยไอติม และการ Focus ก็ไม่ชัดเจน ระยะห่างระหว่าง Dot ก็ไม่ชัดเจน

เครื่องที่โรงพยาบาลนนทเวชใช้ มีทั้ง อย.ไทย , อย.เกาหลี (KFDA) และ อย.สหภาพยุโรป 27 ประเทศ (CE Mark: Community European Mark)  ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม

            อีกประเด็นนึงก็คือ HIFU มี 2 แบบหลักๆ คือ แบบ Single Shot คือยิง 1 Shot คือ ส่งพลังงานลงไป 1จุด กับแบบ Multiple Shots In Line คือ ยิง 1 Shots แต่ส่งพลังงานออกมาครั้งละหลายจุด ซึ่งเครื่องของเราเป็นแบบนั้น คือ ยิง 1 Shots จะส่งพลังงานเป็นแถวเรียงเส้นกัน 15 จุดโฟกัส ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทำ HIFU จาก 2 ที่แล้วจะเห็นผลลัพธ์ต่างกันได้เป็น10เท่า เพราะเป็นคนละเครื่อง คนละมาตรฐานกัน

ดังนั้นคุณภาพและมาตรฐานเครื่อง และมาตรฐานสถานที่ที่ให้บริการ ก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์อย่างน่าพึงพอใจสูงสุด และโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์น้อยที่สุด

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลโดย : พญ.กมลวรรณ พงศ์ปริตร

แพทย์สาขาและความเชี่ยวชาญ ตจวิทยา (ผิวหนัง)

ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมความงาม