
มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากอันดับต้นๆ ของผู้หญิงไทย ภัยเงียบที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทยเป็นอันดับ 1 และเป็นปัญหาคุกคามสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม
มาทำความรู้จักเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากมะเร็งปากมดลูก
ทำความเข้าใจ...มะเร็งปากมดลูกเกิดจากอะไร?
มะเร็งปากมดลูก สาเหตุสำคัญเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) สายพันธุ์เสี่ยงสูง ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสกับเชื้อโดยตรงหรือทางเพศสัมพันธ์
โดยเชื้อไวรัสจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อหรือเซลล์ที่ปากมดลูกปกติกลายเป็นเซลล์มะเร็ง เเละอาจลุกลามไปบริเวณรอบข้าง เช่น ผนังช่องคลอด ตัวมดลูก เนื้อเยื่อข้างมดลูก ต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกราน เป็นต้น ซึ่งมักไม่แสดงอาการในช่วงแรกเริ่ม กว่าเชื้อไวรัสจะกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้นใช้เวลาค่อนข้างนาน ประมาณ 5 - 10 ปี
พฤติกรรมเหล่านี้...เสี่ยง “มะเร็งปากมดลูก”
มีเพศสัมพันธ์เร็ว ตั้งแต่อายุยังน้อย
เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ และมีคู่นอนหลายคน
สูบบุหรี่หรือคนรอบข้างสูบบุหรี่
ป้องกันก่อนเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
- 1.ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก หาเชื้อไวรัส HPV DNA
- HPV Test HPV DNA และค้นหาเชื้อ HPV ของเซลล์บริเวณปากมดลูก
- 2.การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย ลดความเสี่ยง
- ในการติดเชื้อ HPV สาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
วัคซีนป้องกัน HPV มี 2 ชนิด
HPV แบบ 2 สายพันธุ์ เป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ HPV ชนิด 16 และ 18
HPV แบบ 4 สายพันธุ์ เป็นป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ HPV ชนิด 16 และ 18 และหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศจาก HPV 6,11
ใครควรได้รับการฉีดวัคซีน HPV
วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกสามารถฉีดได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยแนะนำให้ฉีดในผู้หญิงอายุ 9 - 26 ปี และวัคซีนจะมีประสิทธิภาพสูงสุดหากฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก แนะนำผู้ชายควรฉีดตั้งแต่อายุ 11-15 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ HPV และไม่ให้เป็นพาหะนำเชื้อไปสู่คู่สมรส รวมทั้งควรได้รับการฉีดในกลุ่มชายรักร่วมเพศ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV หงอนไก่ โรคหูด และมะเร็งทางทวารหนักด้วย
การฉีดวัคซีนแต่ละช่วงอายุ
- อายุ 9-14 ปี ควรฉีดให้ครบ 2 เข็ม
- ครั้งที่ 1 : ฉีดเข็มแรกทันที
- ครั้งที่ 2 : ฉีดหลังจากเข็มแรก 6 – 12 เดือน
- อายุ 15 ปีขึ้นไป ควรฉีดให้ครบ 3 เข็ม
- ครั้งที่ 1 : ฉีดเข็มแรกทันที
- ครั้งที่ 2 : ฉีดหลังจากเข็มแรก 2 เดือน
- ครั้งที่ 3 : ฉีดหลังจากเข็มแรก 6 เดือน
ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก
วัคซีน HPV ช่วยลดโอกาสการเกิดโรค แต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100% ดังนั้นหลังฉีดวัคซีน HPV ยังจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจภายใน พร้อมทั้งดูแลสุขอนามัยทางเพศตามปกติ
วัคซีนสามารถป้องกันเฉพาะสายพันธุ์ HPV ที่ฉีด หรือสายพันธุ์ที่ยังไม่ติดเท่านั้น และไม่สามารถรักษาเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่เคยรับไปแล้วได้
จำเป็นต้องตรวจภายในก่อนฉีดวัคซีน HPV หรือไม่?
การตรวจภายในเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นการค้นหาความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูกในระยะต้น โดยปัจจุบันการตรวจมะเร็งปากมดลูกมีความแม่นยำสูง ทั้งการตรวจทางเซลล์วิทยา (Pap smear, Liquid base cytology) และการตรวจหาไวรัส HPV ที่อาจได้รับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัว เพราะหากได้รับเชื้อ จำเป็นต้องทำการรักษาให้หายก่อนรับการฉีดวัคซีน HPV
หลังจากฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ยังจำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ (ระยะเวลาตามช่วงวัย) หรือตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะวัคซีนสามารถป้องกันเชื้อ HPV ได้เพียงบางสายพันธุ์เท่านั้น
ข้อห้ามสำหรับการฉีดวัคซีน HPV
ผู้ที่ภาวะภูมิไวเกิน (Hypersensitivity) ต่อสารประกอบในวัคซีน
หญิงตั้งครรภ์
ผู้ที่มีอาการป่วย ติดเชื้อ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนไปก่อนจนกว่าจะหาย
-
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีน
บวมหรือแดงบริเวณที่ฉีดวัคซีน
มีไข้ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย
ปวดกล้ามเนื้อ
หน้ามืด เป็นลม
-
แนะนำผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป อย่าละเลยการตรวจมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV สาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก และหากพบความผิดปกติควรพบแพทย์ทันที เพราะรู้ทัน...ป้องกันง่ายกว่าการรักษา
อ้างอิง : บทความ เรื่อง ฉีดวัคซีน HPV สร้างภูมิคุ้มกัน...ลดเสี่ยง “มะเร็งปากมดลูก”
https://www.nonthavej.co.th/hpv-vaccine.php
นพ.วีระกิจ หิรัญวิวัฒน์กุล
กุมารแพทย์เวชศาสตร์ทั่วไป
ศูนย์เด็กและวัยรุ่น
บทความ เรื่อง “มะเร็งปากมดลูก” มะเร็งทางนรีเวชภัยร้ายที่ผู้หญิงควรรู้...
https://www.nonthavej.co.th/cervical-cancer-1.php
นพ.ศุภชัย เรืองแก้วมณี
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งทางนรีเวชและการผ่าตัดผ่านกล้อง
ศูนย์ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชและมะเร็งทางนรีเวช